วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความหมายของเศรษฐศาสตร์และปัจจัยการผลิต



ความหมายของเศรษฐศาสตร์และปัจจัยการผลิต


เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาการแขนงหนึ่งของสังคมศาสตร์ ได้ก่อตัวและมีพัฒนาการต่อเนื่องจนมีสถานภาพเป็น ศาสตร์นับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ตำ ราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลก ซึ่งมีชื่อค่อนข้างยาวว่า An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of the Nation เมื่อค.ศ.1776 ผู้เขียนเป็นชาวอังกฤษ ชื่อ อดัม สมิธ (Adam Smith) ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ระดับสากล และนับจากนั้นเป็นต้นมา การศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ ก็ได้ขยายตัวและครอบคลุมเนื้อหาอย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ
คำนิยามอย่างสั้นที่สุดที่จะแนะนำ ให้รู้จักกับ เศรษฐศาสตร์ มีดังนี้                                        เศรษฐศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลือกหนทางในการใช้ทรัพยากรการผลิตอันมีอยู่จำกัดสำหรับการผลิตสินค้าและบริการเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อตอบสนองความต้องของมนุษย์ที่มีอย่างไม่สิ้นสุด
     จากคำอธิบายข้างต้น มีคำสำคัญที่ควรอธิบายขยายความอยู่ 4 คำ คือ
      (1) การเลือก
     (2) ทรัพยากรการผลิต
     (3) การมีอยู่จำกัด
     (4) สินค้าและบริการ
เหตุที่ต้องมี การเลือก (choice) เพราะทรัพยากรต่างๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายทาง ขณะเดียวกัน ความไม่สมดุลระหว่างความต้องการที่ไม่มีขีดจำกัดของมนุษย์กับทรัพยากรการผลิตที่มีอยู่จำกัดทำ ให้ความต้องการบางส่วนไม่สามารถจะบรรลุผลได้ เราจึงต้องเลือกหนทางในการใช้ทรัพยากรอันมีจำกัดไปในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือให้ความพอใจมากที่สุดการเลือกดังกล่าวนี้เป็นพฤติกรรมเชิงเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นับตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่มบุคคล ไปจนถึงระดับประเทศชาติ ในระดับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล รายได้ที่มีจำกัดทำ ให้ไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามใจชอบ เมื่อมีสินค้าที่อยากได้พร้อมกันหลายอย่างบุคคลจึงต้องตัดสินใจเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จะให้ประโยชน์สูงสุด ในระดับประเทศชาติ จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดไปในทางที่จะทำ ให้ประชาชนโดยส่วนรวมได้รับประโยชน์สูงสุดเช่นกัน
ดังนั้น การเลือกจึงเป็น เงาของเศรษฐศาสตร์ สิ่งใดที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเลือกใช้
ซึ่งทรัพยากรการผลิต สิ่งนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ โดยนัยตรงข้าม หากมีประกาสิต
กำหนดการใช้ทรัพยากรไว้ตายตัว เศรษฐศาสตร์ก็จะไม่มีบทบาทในเรื่องนั้น

  การผลิต หมายถึง การนำปัจจัยการลิตชนิดต่างๆ ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาทำให้เกิด สินค้าและบริการต่างๆเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์
           คำว่า ทรัพยากรการผลิต (productive resources) หมายถึง ทรัพยากรที่นำ มาผลิตสินค้าและบริการ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัจจัยการผลิต (factors of production) แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ ที่ดิน (land) แรงงาน (labor) ทุน (capital) และผู้ประกอบการ (entrepreneur) อธิบายได้ดังนี้





1. ที่ดิน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถจะสร้างเพิ่มได้ ที่ดินในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิต จึงหมายถึงพื้นผิวโลกทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เพียงส่วนที่เป็นพื้นดิน พื้นน้ำ และน้ำแข็งเท่านั้น ยังรวมไปถึงสิ่งต่างๆบางอย่างที่ติดอยู่บนพื้นโลก เช่น สิ่งปลูกสร้าง ที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่การเกษตร ไร่นา ป่าไม้ แร่ธาตุต่างๆ ดังนั้นที่ดินในทางเศรษฐศาสตร์ จึงถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใน 4 อย่าง เพราะที่ดินเป็นสถานที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับอุปโภค บริโภค ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆที่เป็นปัจจัยการผลิตด้วย
2. ทุน ทุนในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ จะแตกต่างไปจากทุนที่ใช้อยู่โดยทั่วๆ ไป ซึ่งพอจะแยกความแตกต่างออกได้ดังนี้ คือ ทุนในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ผลรวมของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายจริงในการผลิตสินค้า และค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องจ่ายจริง เป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น หรือเรียกว่า ต้นทุนเสียโอกาส คือผู้ผลิตเสียโอกาส ในการนำปัจจัยการผลิตไปใช้ในการผลิตอย่างอื่น เช่น ทำนาในที่นาของตัวเองไม่ได้คิดค่าเช่านา เป็นต้น นอกจากนี้ทุนทางเศรษฐศาสตร์ยังรวมถึงสิ่งที่สามารถใช้เป็นทุนได้ เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆด้วยทุนในทางธุรกิจ คือ ทุนทางบัญชี หมายถึง เงินสด หรือเงินทุนที่นำมาใช้ในการผลิตและดำเนินการ จะเป็นรายจ่ายที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง
3. แรงงาน หมายถึง บุคคลที่ใช้กำลังความคิดทำงานเพื่อให้ได้ผลตอบแทน ซึ่งอาจเป็นเงินหรือสิ่งของ และเงินหรือสิ่งของที่ได้มานั้นสามารถบำบัดความต้องการของบุคคลได้ แรงงานนับว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญชนิดหนึ่งในการผลิตสินค้าและบริการ นอกจากนี้แรงงานยังสามารถแบ่งออกได้อีกคือ มีแรงงานมีฝีมือ แรงงานกึ่งมีฝีมือ แลัแรงงานไร้ฝีมือ
4. ผู้ประกอบการ คือ การกำหนดเอาที่ดิน ทุน แรงงาน มาดำเนินการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นผู้ดำเนินการ หรือผู้จัดการในการผลิต จึงเรียกว่า ผู้ประกอบการ เพราะได้ทำหน้าที่เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหา พื้นฐานทางเศรษฐกิจว่า จะผลิตอะไร และผลิตเพื่อใคร

ในทางเศรษฐศาสตร์ต้นทุนการผลิต คือ ผลรวมค่าตอบแทนปัจจัยการผลิตทั้งหมด
               คำว่า การมีอยู่จำกัด (scarcity) ให้คำ จำกัดความได้ 2 แบบ                                                (1) คำจำกัดความเชิงสัมบูรณ์ (absolute definition) คือพิจารณาจากทรัพยากรการผลิตทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งอาจมองได้หลายระดับ หากมองในระดับโลก ทรัพยากรการผลิตทุกอย่างในโลกล้วนมีอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นกำ ลังแรงงาน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และเครื่องจักรต่างๆ ทรัพยากรเหล่านี้ทั่วทั้งโลกมีอยู่เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพิ่มอีกไม่ได้ หากประเทศใดมีเพิ่มขึ้น โดยมากก็เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายมาจากประเทศอื่น ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามประเทศ หรือการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ไปทำการผลิตร่วมกับที่ดินของประเทศอื่น โดยการเช่าหรือซื้อที่ดินในต่างประเทศทำการผลิต หากมองในระดับประเทศ การมีอยู่จำกัดปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งครอบครองทรัพยากรการผลิตมากขึ้น ก็จะมีทรัพยากรการผลิตเหลือน้อยลงสำ หรับคนอื่น ๆ ในสังคม                                                                          (2) คำจำกัดความเชิงสัมพัทธ์ (relative definition) เป็นการพิจารณาอุปทานของทรัพยากรการผลิตเมื่อเทียบกับอุปสงค์หรือความต้องการทางวัตถุอันไม่จำ กัด ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีทรัพยากรการผลิตมากเท่าใดก็ตาม เมื่อนำ ทรัพยากรเหล่านี้ไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการอันไม่จำ กัดของมนุษย์ได้
          คำว่า สินค้าและบริการ (goods and services) คือสิ่งที่ได้จากการทำงานร่วมกันของ
ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มีอรรถประโยชน์ (utility) มากกว่าศูนย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท                         (1) สินค้าและบริการขั้นกลาง (intermediate goods and services) เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเพื่อนำ ไปใช้เป็นปัจจัยการผลิต เช่น อาหารสัตว์ วัสดุก่อสร้าง รถบรรทุกสิบล้อเป็นต้นและ                                (2) สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย (final goods and services) เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเพื่อนำ ไปใช้อุปโภคและบริโภค ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก โรงงานถลุงเหล็กนำ สินแร่เหล็กมาถลุงและทำ เป็นแท่งเหล็ก จากนั้นรีดเป็นแผ่นเหล็ก ใช้แผ่นเหล็กขึ้นรูปเป็นตัวถังรถ โรงงานประกอบรถยนต์ใส่ชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้ากับตัวถังรถ สำเร็จออกมาเป็นรถยนต์ จะเห็นว่าแท่งเหล็ก แผ่นเหล็ก โครงตัวถังรถเป็นสินค้าขั้นกลาง ส่วนรถยนต์อาจถือเป็นสินค้าขั้นกลางถ้าหน่วยผลิตซื้อไปใช้งาน และถือเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายถ้าครัวเรือนซื้อไปใช้ จะเห็นได้ว่าสินค้าหรือบริการอย่างเดียวกันอาจเป็นได้ทั้งสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้าย ทั้งนี้พิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการนำ ไปใช้ประโยชน์เป็นสำคัญ


ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์ ได้แบ่งสินค้าออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เศรษฐทรัพย์

(economic goods) และสินค้าไร้ราคา (free goods) เศรษฐศาสตร์ศึกษาเฉพาะสินค้าที่เป็นเศรษฐทรัพย์เท่านั้น

 ก. เศรษฐทรัพย์ คือสินค้าที่มีต้นทุน ดังนั้นจึงมีราคามากกว่าศูนย์ โดยปกติ

ผู้บริโภคจะเป็นผู้จ่ายค่าสินค้าโดยตรง แต่ในบางกรณี ผู้บริโภคกับผู้จ่ายค่าสินค้าอาจจะเป็นคนละคน ซึ่งได้แก่ เศรษฐทรัพย์ที่ได้จาการบริจาค หรือจากการให้โดยเสน่หา หรือจากบริการสวัสดิการของรัฐ ซึ่งเป็นเศรษฐทรัพย์ที่ได้เปล่า จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สินค้าให้เปล่า” (ซึ่งไม่ใช่สินค้าไร้ราคา)

                 ข. สินค้าไร้ราคา หมายถึงสินค้าและบริการที่ไม่มีต้นทุน จึงไม่มีราคาที่ต้องจ่ายตัวอย่างของสินค้าไร้ราคา ได้แก่ สายลม แสงแดด นํ้าฝน อากาศในบรรยากาศ นํ้าทะเล และนํ้าในแม่นํ้า ลำ คลอง





แหล่งที่มาของข้อมูล
                  - http://member-production.tripod.com/
- http://www.pixpros.net/





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น